พาเจาะลึก ‘วัดพระสิงห์’ แบบทุกซอกทุกมุม! ตั้งแต่ตำนานพระพุทธสิหิงค์สุดศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมล้านนาสุดขลังที่ซ่อนอยู่ อ่านจบแล้วจะรู้ว่ามาที่นี่ต้องไหว้อะไร ขอพรตรงไหนถึงจะปัง แถมได้ความรู้ประวัติศาสตร์แบบมีกึ๋นกลับไปเต็มๆ รับรองว่าทริปไหว้พระของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 🙏✨
ถ้าพูดถึงวัดที่เป็นเหมือนหัวใจของเชียงใหม่ ยังไงก็ต้องมีชื่อ “วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร” โผล่มาเป็นอันดับแรกๆ ที่นี่ไม่ใช่แค่แลนด์มาร์กสวยๆ ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเช็กอิน แต่มันคือศูนย์รวมจิตใจและศรัทธาของชาวล้านนามานานหลายร้อยปี และสำหรับสายมูตัวจริงเสียงจริง ต้องรู้ไว้เลยว่าที่นี่คือ พระธาตุประจำปีเกิดของปีมะโรง (งูใหญ่) ใครเกิดปีนี้แล้วไม่ได้มาสักการะ ถือว่าพลาดของดีอย่างแรง! วันนี้ Eat Radar จะไม่พามาแค่ไหว้พระ แต่จะพามาส่องทุกจุดสำคัญที่ทำให้วัดนี้ขลังและเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าทึ่ง!
บรรยากาศโดยรวมและประวัติศาสตร์ที่มาก่อนกาล
แค่ก้าวเข้ามาในวัด ก็สัมผัสได้ถึงความขลังที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู วัดพระสิงห์ฯ หรือชื่อเดิมคือ “วัดลีเชียงพระ” สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 1888 โดยพญาผายู กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์มังราย แกสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานอัฐิของ “พญาคำฟู” พระราชบิดาของท่าน พูดง่ายๆ คือวัดนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความกตัญญูของลูกที่มีต่อพ่อ บรรยากาศในวัดเลยดูยิ่งใหญ่แต่ก็อบอุ่นไปในตัว มีทั้งวิหารหลวงที่สง่างาม พระเจดีย์สีทองอร่าม และผู้คนมากมายที่เดินทางมาด้วยความศรัทธา ทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน
หอไตร ป้อมปราการแห่งภูมิปัญญา
เห็นอาคารนี้แล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นโบสถ์หรือวิหารนะ นี่คือ “หอไตร” หรือหอพระไตรปิฎกที่สวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว! ความพีคของมันคือสถาปัตยกรรมแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ ที่ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนอย่างแข็งแรง เพื่อป้องกันแมลงและความชื้นไม่ให้ทำลายคัมภีร์ใบลาน ส่วนชั้นบนเป็นเครื่องไม้ที่แกะสลักลวดลายอย่างวิจิตร ผนังปูนด้านนอกประดับด้วยรูปปั้นเทวดาที่ดูราวกับมีชีวิต เป็นการออกแบบที่โคตรมีกึ๋นของคนโบราณ คือไม่ได้สร้างแค่ให้สวย แต่สร้างมาเพื่อใช้งานจริง ปกป้ององค์ความรู้ทางศาสนาไว้อย่างดีที่สุด
พระธาตุหลวงเจดีย์สีทอง ศูนย์กลางแห่งแรงศรัทธา
นี่คือ “พระธาตุหลวงเจดีย์” เจดีย์ประธานของวัดที่เปล่งประกายสีทองอร่ามท้าแดดอยู่ใจกลางวัด เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำศิลปะล้านนาแท้ๆ ที่มีฐานสี่เหลี่ยมยกสูง และมีรูปปั้นช้างล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ ที่สำคัญ เจดีย์องค์นี้แหละคือที่บรรจุพระเกศาธาตุและเป็น พระธาตุประจำปีมะโรง ตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อกันว่าถ้าใครเกิดปีมะโรงได้มากราบไหว้ จะเสริมสิริมงคลให้ชีวิตรุ่งเรืองเปรี้ยงปร้าง! ใครเกิดปีงูใหญ่ มาถึงเชียงใหม่แล้วต้องพุ่งตัวมาที่นี่ก่อนเลยนะ
วิหารลายคำ ขุมทรัพย์แห่งศิลปะล้านนา
ข้างๆ พระธาตุเจดีย์ คือที่ตั้งของ “วิหารลายคำ” แค่เห็นหน้าบันที่ประดับลวดลายแกะสลักปิดทองอย่างอลังการก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา วิหารหลังนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมล้านนาที่สมบูรณ์และงดงามที่สุดแห่งหนึ่ง ชื่อ “ลายคำ” ก็มาจากการตกแต่งภายในที่ใช้ทองคำเปลววาดเป็นลวดลายบนผนังสีแดงชาด บวกกับภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณเรื่องสังข์ทองและสุวรรณหงส์ที่สวยจนต้องหยุดหายใจ ที่นี่ไม่ใช่แค่วิหาร แต่เป็นเหมือนแกลเลอรีมีชีวิตที่เก็บรวบรวมงานศิลป์ชั้นครูของล้านนาเอาไว้
พระประธานในอุโบสถ “พระเจ้าทองทิพย์”
ภาพนี้คือบรรยากาศภายใน พระอุโบสถ หรือ “วิหารหลวง” ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในวัด ใช้สำหรับประกอบสังฆกรรมสำคัญของพระสงฆ์ พระประธานที่ประดิษฐานอย่างสง่างามอยู่ภายในคือ “พระเจ้าทองทิพย์” เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัยที่งดงามและเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง การได้เข้ามานั่งสงบใจต่อหน้าองค์พระประธานในอุโบสถที่โอ่โถงและขรึมขลัง ถือเป็นการชาร์จพลังบุญที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่งเลย
ศิลาจารึก ฮาร์ดไดรฟ์แห่งประวัติศาสตร์
แผ่นหินที่ดูธรรมดาๆ แผ่นนี้ จริงๆ แล้วคือ “ศิลาจารึก” หรือจะเรียกว่าเป็นฮาร์ดไดรฟ์บันทึกข้อมูลของประวัติศาสตร์ก็ได้ ศิลาจารึกในวัดพระสิงห์มีความสำคัญมาก เพราะมันบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งประวัติการสร้างวัด การสถาปนาปูชนียวัตถุ ไปจนถึงเรื่องราวของบ้านเมืองในยุคนั้น เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ได้รู้ว่าวันเวลาได้พัดพาอะไรผ่านมาบ้าง เป็นอีกหนึ่งจุดที่แสดงให้เห็นว่าวัดนี้ไม่ได้มีแค่ความเชื่อ แต่เต็มไปด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้
หลายคนอาจจะงงว่าโบสถ์ไหนเป็นโบสถ์ไหน สองอาคารนี้แม้จะสวยงามเหมือนกันแต่มีหน้าที่และความสำคัญต่างกัน
- พระอุโบสถ (วิหารหลวง) คืออาคารหลังใหญ่สุด เป็นพื้นที่สำหรับพระสงฆ์ทำสังฆกรรมโดยเฉพาะ เช่น การบวชพระ การทำวัตรสวดมนต์ เปรียบเหมือน “ห้องทำงาน” หลักของคณะสงฆ์
- วิหารลายคำ ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์พิเศษ คือเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธสิหิงค์” โดยเฉพาะ จึงมีขนาดเล็กกว่า แต่จะเน้นความวิจิตรตระการตาของงานศิลปะและจิตรกรรมฝาผนังเป็นพิเศษ เปรียบเหมือน “หอเกียรติยศ” ที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
พระพุทธสิหิงค์ ตำนานความศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง
และนี่คือองค์ไฮไลต์ที่ใครมาก็ต้องมากราบ “พระพุทธสิหิงค์” หรือ “พระสิงห์” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ ตามตำนานกล่าวว่าสร้างขึ้นที่ศรีลังกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 700 และถูกอัญเชิญมายังดินแดนล้านนาในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นเลื่องลือมาก ผู้คนเชื่อกันว่าใครได้กราบไหว้ขอพร จะประสบความสำเร็จ มีโชคลาภ และเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี จะมีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ (องค์จำลอง) ออกมาแห่รอบเมืองเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคล นี่คือจุดขอพรที่ทรงพลังที่สุดในวัดแล้ว พลาดไม่ได้เด็ดขาด!
อนุสาวรีย์สองมหาบุรุษแห่งล้านนา
กลางวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ มีรูปปั้นสองกษัตริย์ยืนเคียงกัน — ฝั่งซ้ายคือ “พญามังราย” ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ส่วนขวาคือ “พญาผาชู” ขุนพลคู่ใจ ผู้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องกษัตริย์และแผ่นดิน เรื่องราวของทั้งสองท่านไม่ได้อยู่แค่ในตำนาน…แต่มายืนสง่างามเป็นประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์ตรงนี้
👑 พญามังราย — บุรุษผู้รวมแผ่นดินล้านนา
พญามังราย หรือ “พ่อขุนเม็งราย” คือผู้ก่อตั้งนครเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 โดยย้ายจากเมืองเชียงแสนลงมาตั้งเมืองหลวงใหม่เพื่อรวมแคว้นต่างๆ เป็นล้านนา ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ วางรากฐานเมืองเชียงใหม่ทั้งระบบป้องกันน้ำ ระบบเมือง และวัดวาอารามที่ยิ่งใหญ่
⚔️ พญาผาชู — นักรบเลือดขัตติยะผู้ภักดี
พญาผาชู คือแม่ทัพคู่พระทัยของพญามังราย เล่าขานว่าในช่วงสงครามกับอาณาจักรข้างเคียง พญาผาชูได้นำทัพฝ่าข้าศึก และเมื่อกษัตริย์ตกอยู่ในอันตราย ท่านถึงกับกระโดดเข้าป้องกันพระองค์จนเสียชีวิตในสนามรบ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีและเสียสละอย่างสูงสุด
กู่พญาคำฟู จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน
มาถึงจุดที่เป็นเหมือนรากของต้นไม้ใหญ่…นี่คือ “กู่พญาคำฟู” เจดีย์อิฐศิลาแลงโบราณที่เห็นอยู่นี้ คือสถูปดั้งเดิมที่พญาผายูสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของพระราชบิดา และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดวัดพระสิงห์ขึ้นมา แม้จะดูเก่าแก่ ไม่ได้เปล่งประกายสีทองเหมือนเจดีย์องค์ใหญ่ แต่กู่แห่งนี้คือจุดที่เชื่อมโยงเราเข้ากับประวัติศาสตร์กว่า 700 ปีก่อนได้โดยตรง การได้มาหยุดยืนตรงนี้ เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเห็นการวางอิฐก้อนแรกของวัดเลยทีเดี
สรุป
ไม่ใช่แค่ชาวไทย ชาวจีน ฝรั่งมังค่า ยังนิยมมาดูศิลปความงดงามที่นี่ มีการเช่าชุดไทยถ่ายภาพแบบแบ็คกราวด์วัดที่สวยซะทุกมุม
วัดพระสิงห์ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา แต่มันคือพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และพลังแห่งศรัทธา ทุกย่างก้าวในวัดนี้มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่เสมอ มาครั้งเดียวได้ครบทั้งความรู้ทางประวัติศาสตร์ เสพงานศิลป์สุดล้ำค่า และที่สำคัญคือได้ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเพื่อความปังในชีวิต ใครมาเชียงใหม่ ต้องปักหมุดที่นี่ไว้เลย!
